วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

"อีแร้ง" ไปไหน ??


      เมื่อก่อนนั้นภาคอีสานเราก็ถือว่ามีอีแร้งเยอะมาก อีแร้งเป็นสัตว์ปีกที่มีขนาดใหญ่และกินซากสัตว์ที่ตายหรือซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยแล้วเป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่มีประโยคต่อมนุษนย์ทางอ้อม
       
     อีแร้งที่เคยพบเจอในภาคอีสานก็มีอยู่ ๒ จำพวก พวกหนึ่งเรียกว่าพญาแร้ง ลักษณะลำตัวใหญ่ มีขนสีดำสนิท อกจะแดงและส่วนหัวก็แดง (ภาษาอีสานเรียกว่า "แฮ้งคอดำ") พวกนี้จะยืนอยู่ห่างๆ จากอาหารหรือซากสัตว์ที่ตายแล้ว จะไม่ค่อยเข้ามาใกล้ ปล่อยให้เพื่อนฝูงกินไปก่อนถ้าเหลือค่อยกิน หรือถ้าไม่เหลือมันก็จะไหล่เหยียบตัวอื่นที่เห็นว่าตัวที่กินได้มาก โดยการเหยียบหลังแล้วให้สำรอกหรือคายเนื้อที่กินออกมา แล้วมันก็ค่อยกิน ส่วนพวกที่ ๒ คือ อีแร้งหม่น (ภาษาอีสานเรียกว่า "แฮ้งอีหม่น") เพราะมีสีหน่มปนเทา ตัวจะเล็กกว่าพญาแล้ง พวกนี้แหละที่โดนเหยียบ เมื่อกินซากศพนั้นหมดแล้วพวกนี้ก็จะบินหนีหายเงียบไป ส่วนมาไม่พบว่านอนอยู่ที่ไหน...ถึงแม้อีแร้งมันจะช่วยจัดการซากศพ และเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ทางอ้อมก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ในภาคอีสานก็มีความเชื่อว่า ถ้ามันบินไปเกาะหลังคาบ้านใคร เขาถือว่าบ้านหลังนั้นจะมีเคราะห์ (เว้าตามภาษาบ้านเฮากะตายห่า) จึงต้องนิมนต์พระมาสวดทำบุญบ้านเพื่อไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้นในครอบครัว แต่นี้ก็เป็นเพียงความเชื่อส่วนหนึ่งเท่านั้น
     
     ระยะหลังๆ มา นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ อีแร้งก็ค่อยหายไปทีละน้อยจนกระทั่งไม่หลงเหลือให้เห็นมันอีก สาเหตุก็คือมันไม่มีซากวัวควายกิน เพราะมนุษย์ปัจจุบันไม่ได้ทิ้งซากเหมือนเมื่อก่อน นอกจากจะนำเนื้อหนังมาทำอาหารแล้ว แม้กะทั่งกระดูกก็ยังนำไปขายได้ แม้แต่สุนัขที่ตายในท้องนาก็ไม่เหลือ เพราะโตขึ้นหน่อยก็นำไปแลกครุถัง เพื่อที่จะไปชำแหละขาย ถึงขนาดนี้อีแร้งมันจะกินอะรัย มันก็หนีเตลิดเปิดเปิงอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นกันหมด
       
     ในสมัยนั้น ท่านคงเคยได้ยินว่าประเทศเพื่อนบ้างอย่างกัมพูชามีสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ เกิดความเสียหายมหาศาลในระดับประเทศ เสียหายแม้กระทั่งทรัพยากรมนุษย์ ฆ่ากันตายเหมือนผักปลา ทำให้ประชาชนล้มตายเหมือนใบไม้ล่วง ปล่อยซากศพส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว บรรดาอีแร้งเมื่อมันอดอาหารจากบ้านเราแล้วอะไรจะไปเหลือ มนุษย์ก็มนุษย์เถอะ มันจึงไปอยู่ประเทศกัมพูชา เพราะไดมีอาหารพอได้กินบ้าง กระทั่งซากวัวซากควายก็มี เพราะวัวควายกัมพูชามีเยอะ ถ้าคิดๆ แล้วก็เหมือนบ้านเราเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีก่อน และทุกวันนี้เราก็จะแทบไม่พบอีแร้งตามธรรมชาติอีกเลยนอกจากจะอยู่ในกรงหรือสวนสัตว์เท่านั้น...



Admin : บ่าวทุ่งกุลา เรื่องเล่าอีสาน อีศาน

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำไมต้องกินข้าววันละสามมื้อ ??

ในอดีตกาลนานมาแล้ว สรรพสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดบนโลกมนุษย์นี้กำเนิดขึ้นมาจากอำนาจวิเศษของพญาแถน ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์อยู่บนสวรรค์ เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้กำหนดสิ่งมีชีวิตทุกๆสิ่งให้มีบทบาทและหน้าที่ต่างๆ กัน อย่างสมดุล และสมบูรณ์แบบ มนุษย์ก็เช่นกัน ล้วนถูกลิขิตชีวิตด้วยพญาแถนทั้งสิ้น แต่เดิมนั้นพญาแถนกำหนดให้มนุษย์กินข้าวเป็นอาหารหลักวันละหนึ่งมือ อยู่ต่อมาพญาแถนคิดว่า การที่มนุษย์กินข้าววันละมื้อ เป็นการสิ้นเปลืองข้าวเป็นจำนวนมาก จึงต้องการกำหนดให้มนุษย์กินข้าวสามวันต่อหนึ่งมือ

เมื่อคิดได้ดังนั้น พญาแถนจึ้งเรียกควายป่าซึ่งอาศัยอยู่บนสวรรค์มาหาทันที  "เจ้าควายป่า เจ้าจงรับคำสั่งของข้า ลงจากสวรรค์ไปบอกมนุษย์เดี๋ยวนี้ว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้กินข้าวสามวันต่อหนึ่งมือ"เจ้าควายเมื่อรับคำสั่ง รู้มีความรู้สึกดีใจยิ่งนักที่จะได้ลงมาเมืองมนุษย์ จึงรีบลงมาจากสวรรค์ทันที เมื่อลงมายังพื้นดินที่เป็นผืนนาของมนุษย์ เจ้าควายรูสึกตื่นตาตื่นใจ กับความสวยงามบนโลกมนุษย์ยิ่งนัก ทั้งดอกไม้และพืชพรรณสีสรรค์ต่างๆ จึงวิ่งพลางเดินพรางเพื่อรีบไปบอกมนุษย์ ปากก็พร่ำทบทวนคำสั่งที่ได้รับคำสั่งมาว่า...สามวันต่อมื้อ สามวันต่อมื้อ ด้วยความรีบร้อนและมัวแต่มองความงามของพื้นดิน จึงสะดุดคันหน้าอย่างแรง เซลงถลาไปชนจอมปลวกอย่างจัง ด้วยน้ำหนักที่มากของควาย จึงทำให้เกิดแรงเหวี่ยงอย่างแรง ศีรษะและใบหน้าของควายจึงฟาดกับจอมปลวกอย่างแรง ทำให้ฟันหน้าของควายหลุดหมด จากวันนั้นเป็นต้นมา ควายจึงไม่มีฟันมาถึงปัจจุบันนี้ นอกจากจะฟันหักแล้ว ความรุนแรงของอุบัติเหตุทำให้สมองเลอะเลือน ทำให้จำคำสั่งที่พญาแถนบอกไว้ไม่ได้ จำได้แต่คำว่า สาม สาม สาม เมื่อมาถึงหมู่บ้านเห็นมนุษย์จึงร้องบอกไปว่า "พญาแถนสั่งให้กินข้าววันละสามมื้อ"ผิดจากคำสั่งเดิมไปโดยสิ้นเชิง


นับตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็เปลี่ยนจากกินข้าววันละหนึ่งมื้อ มาเป็นกินข้าววันละสามมื้อ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฝ่ายควายเมื่อบอกให้มนุษย์แล้วจึงรีบเหาะขึ้นสวรรค์ รายงานต่อพญาแถนทันที "ข้าได้ทำตามคำสั่งของท่านแล้ว"ควายรีบรายงานผลงาน พร้อมกับทำความเคารพพญาแถน "ไหนเจ้าลองทบทวนคำสั่งของข้าซิ"พญาแถนร้องสั่งให้ควายพูดทบทวนคำสั่งอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความมั่นใจในคำสั่งที่มอบหมายให้กับควายไป"ข้าบอกมนุษย์ว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปพญาแถนให้พวกท่านกินข้าววันละสามมื้อ"เจ้าควายทบทวนคำสั่งให้พญาแถนฟังด้วยความมั่นใจ "ห๋า…เอ็งบอกว่าไงนะ กินข้าววันละสามมื้อ กินข้าววันละสามมื้อ ข้าสั่งให้มนุษย์กินข้าวสามวันต่อมื้อต่างหาก เอ้า…เจ้ากระทำความผิดอย่างมหันต์ เจ้าต้องรับโทษให้สาสมกับความโง่ของเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องลงไปอยู่บนโลกมนุษย์ เพื่อไปทำนาให้มนุษย์กิน"พญาแถนทำโทษควายป่าด้วยความโมโห ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ควายป่าก็ไม่มีฟัน และเป็นสัตว์เลี้ยงที่มนุษย์ใช้ทำนามาจนทุกวันนี้ และมนุษย์จึงกินข้าววันละสามมื้อด้วยประการฉะนี้...


ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก "คนเก็บแสง" (อ้ายขวัญชัย นวนเจริญ)
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าอีสาน อีศาน  โดย 
Admin : ลูกชายหล่า (อ้ายต่อ ธนภัทร)



วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วันนี้ว่าด้วยเรื่อง การย้ายครัว,การแยกครัว หรือภาษาทางการเรียกว่า "การอพยพ"

ตอนเด็กๆแอดมินเคยได้ยินมาจากยายของแอดมินเองว่า 
"ในสมัยพ่อของยาย (ตาทวด) ได้มีการอพยพผู้คนสมัยนั้นเรียกว่าการแยกครัวหรือย้ายครัว โดยการแยกครัวนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ผู้คนเท่านั้น ยังมีสิ่งของเครื่องใช้ ข้าวสารอาหารแห้งที่ใช้ในการเดินทาง และสัตว์เลี้ยงที่นำไปด้วยเช่น วัว,ควาย,หมู,หมา,เป็ด,ไก่ ตามไปด้วย ในตอนนั้นรถก็ไม่มี จึงต้องใช้เกวียนที่สร้างขึ้นจากไม้ โดยมีวัวที่นำไปด้วยทำหน้าที่เป็นผู้ลากเกวียนจึงถูกเรียกว่าวัวเทียมเกวียน ผู้คนที่อพยพนั้นต้องการที่จะหาแหล่งที่อยู่ใหม่และแหล่งที่อยู่เดิมอาจจะมีผู้คนอาศัยอยู่มากจึงแยกตัวออกมาเพื่อที่จะหาแหล่งที่อยู่และแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์กว่าเดิม ในขณะนั้นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ก็จะมีเพียงพื้นที่ชุ่มน้ำที่อาจจะเป็นลำน้ำหรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ก็ได้ แต่พื้นที่ที่จะตั้งครัวนั้นจะต้องเป็นเนินหรือดอนขนาดใหญ่ พอที่จะไม่ให้น้ำท่วมครัวหรือท่วมหมู่บ้านได้"

ส่วนนี้เป็นเพียงสิ่งที่แอดมินได้ยินมาจากยาย แต่วิธีการย้ายควรของคนอีสานในอดีตอาจะแตกต่างหรือคล้ายคลึงกันในบางพื้นที่ก็เป็นได้
.................................................
Admin : บ่าวทุ่งกุลา เรื่องเล่าอีสาน อีศาน